จากของเสียมาเป็นพลังงาน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ดร.สุนีรัตน์ รัตนะ
นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการ
ส่วนควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13(ชลบุรี)
พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้ เป็นหนึ่งใน 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals- SDGs) ที่กำหนดว่า ภายในปี พ.ศ. 2573 จะมีการลงทุนในแหล่งพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อน และพลังงานจากชีวมวล เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการผลิตไฟฟ้าที่เหมาะสมในทุกที่ ลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมากสู่สิ่งแวดล้อม1
ก๊าซชีวภาพเกิดขึ้นได้อย่างไร
ก๊าซชีวภาพ เกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์ หรือ เศษอาหาร
เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรชนิดต่างๆ มูลสัตว์ รวมทั้งของเหลือใช้จากโรงงานแปรรูปอาหาร
โรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง โรงงานผลิตเอธานอล หรือแม้กระทั่งกากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียภายใต้สภาวะไร้ออกซิเจน (Anaerobic) ก๊าซจากระบบฝังกลบขยะมูลฝอย
ก็จัดเป็นก๊าซชีวภาพเช่นกันเนื่องจากขยะมีเศษอาหารและสิ่งที่ย่อยสลายได้ปะปนอยู่ เมื่อทับถมกันภายใต้สภาวะไร้อากาศ จึงเกิดเป็นก๊าซชีวภาพขึ้น
และปัจจัยสำคัญที่ทำให้การย่อยสลายเกิดขึ้นได้ ก็คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก นั่นเอง
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่ว่า คืออะไร และมีหน้าที่อะไรบ้าง
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
และทำให้เกิดกระบวนการย่อยสลายจนได้ก๊าซชีวภาพ มี 2 ชนิด ชนิดแรก คือ
แบคทีเรีย ชนิดที่สอง คือ อาร์เคีย อาร์เคียจะทำหน้าที่ต่อจากแบคทีเรียทำให้เกิดก๊าซมีเทนขึ้น
โดยเราเรียกอาร์เคียกลุ่มนี้โดยเฉพาะว่า เมทาโนเจน
การผลิตก๊าซชีวภาพจากเศษวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิตของโรงงาน
ไม่ว่าจากโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง โรงงานผลิตเอธานอล หรือจากฟาร์มสุกร
เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนนั้น
ถือเป็นแนวทางหนึ่งในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยเฉพาะจากน้ำมัน
ซึ่งถือเป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป และเนื่องจากก๊าซมีเทนมีค่าศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
(Global Warming Potential, GWP) ในช่วงระยะเวลา 100
ปี เท่ากับ 25 เมื่อเทียบกับ GWP ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การนำก๊าซชีวภาพในรูปของก๊าซมีเทนมาใช้ประโยชน์ จึงเป็นการลดการเกิดภาวะโลกร้อนที่เกิดจากก๊าซมีเทน
ซึ่งถือเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญได้
การดำเนินโครงการเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงานตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด
(Clean Development Mechanism, CDM) หรือตามความตกลงใหม่ Paris
Agreement จากการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สมัยที่ 21 (COP21)4 ที่ผ่านมานั้น
ประเทศไทยนอกจากจะให้ความสำคัญกับภาคคมนาคมซึ่งมีส่วนสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจกแล้ว
ยังควรต้องหันมาให้ความสำคัญกับภาคส่วนการจัดการขยะและน้ำเสียเพิ่มมากขึ้นด้วยโดยเฉพาะการนำก๊าซชีวภาพจากระบบฝังกลบขยะมูลฝอยชุมชนมาใช้ประโยชน์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าหากได้มีการออกแบบระบบรวบรวมก๊าซอย่างเหมาะสม
และการนำกากตะกอนเข้มข้นจากระบบบำบัดน้ำเสีย (Sludge)
มาเข้าสู่ระบบบ่อหมักแบบไร้อากาศ (Anaerobic Digestion) ซึ่งหากได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น นอกจากผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการผลิตก๊าซมีเทนที่นำมาใช้เผาไหม้ได้โดยตรงเช่นในปัจจุบันแล้ว
ยังสามารถนำก๊าซแอมโมเนียที่เกิดขึ้นจากการย่อยสลายโปรตีนมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ย
หรือต่อยอดเพื่อผลิตเป็นเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนหรือเป็นก๊าซไฮโดรเจนสำหรับใช้เติมรถยนต์แทนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ในอนาคต
ถือเป็นแนวคิดใหม่ในการเปลี่ยนของเสียเป็นพลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้ ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง
2รายงานผลการดำเนินงานของกรมควบคุมมลพิษ กรณีกลิ่นเหม็นรบกวน ประจำวันที่ 4-5 ธันวาคม 2559
3 Klass, D.L. (1984) Methane from anaerobic
fermentation. Science 223(4640), 1021-1028.
Stams, A.J.M. (1994) Metabolic
interactions between anaerobic bacteria in methanogenic environment. Antonie
van Leeuwenhoek 66(1-3), 271-294.
Rittmann, B.E. and McCarty, P.L. (2001)
Environmental Biotechnology: Principles and Applications, The McGraw-Hill
Companies, Inc., New York, NY.
4 เอกสารสรุป
การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2558