6 กุมภาพันธ์ 2560

: อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท “Minamata Convention on Mercury”



อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท 
“Minamata Convention on Mercury”
------------------------
ชลาลัย รุ่งเรือง
นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการ

สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ ๑๓ (ชลบุรี)

ปรอทเป็นโลหะที่มนุษย์รู้จักกันดี โดยมีการนำมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่สมัยโบราณ เพื่อเป็นส่วนผสมของยารักษาโรค และปัจจุบันมีการนำปรอทมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ทั้งทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การใช้และการจัดการสารปรอทอย่างไม่เหมาะสม ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน
ทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงพิษภัยของปรอท จากเหตุการณ์เศร้าสลดที่เกิดขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ๒๕๐๓ กับชาวประมง และผู้บริโภคปลาและหอยที่ปนเปื้อนสารปรอท บริเวณอ่าวมินามาตะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต และมีผู้ป่วยด้วยอาการชาตามร่างกาย ควบคุมตัวเองไม่ได้ และเป็นอัมพาต หรือที่เรียกว่า โรคมินามาตะ มากกว่า ๑,๒๐๐ คน
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ – ๒๕๕๖ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) ร่วมกับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรเอกชน จึงได้จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการปรอท หรือ Intergovernmental Negotiating Committee (INC) to prepare a global legally binding instrument on mercury ขึ้น เพื่อยกร่างอนุสัญญาระหว่างประเทศสำหรับควบคุม และจัดการปรอท และให้ชื่ออนุสัญญาฉบับนี้ว่า “The Minamata Convention on Mercury”
อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท (The Minamata Convention on Mercury) ” เป็นอนุสัญญาระหว่างประเทศที่มุ่งเน้นการควบคุม และลดการใช้ และการปลดปล่อยปรอทจากแหล่งกำเนิดที่เป็นประเด็นปัญหาสำคัญระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม จากการปลดปล่อยปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์สู่อากาศ แหล่งน้ำ และดิน
ปัจจุบันมีประเทศให้สัตยาบัน (ratification)[1] ในอนุสัญญามินามาตะฯ แล้ว ๓๖ ประเทศ (ข้อมูล ณ เดือนมกราคม ๒๕๖๐) โดยอนุสัญญาฯ จะมีผลใช้บังคับใน ๙๐ วัน หลังจากมีประเทศให้สัตยาบัน หรือ ภาคยานุวัติ (accession)[2]  ครบ ๕๐ ประเทศ สำหรับประเทศไทยอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ทั้งนี้ อนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้กับแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ดังนี้
·       แหล่งอุปทานปรอทและการค้าปรอท ได้กำหนดให้ไม่อนุญาตให้มีการค้าปรอท ยกเว้น ประเทศภาคีนำเข้าได้ให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร และเพื่อวัตถุประสงค์การใช้ที่ได้รับอนุญาตจากอนุสัญญาฯ และการกำจัดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ 
และพยายามระบุคลังปรอทหรือสารประกอบปรอท (individual stocks) ที่มีปริมาณเกินกว่า 50 เมตริกตัน และแหล่งอุปทานปรอทที่ก่อให้เกิดการสะสมของปรอทหรือสารประกอบปรอท (generating stocks) ที่มีปริมาณเกินกว่า 10 เมตริกตันต่อปี ภายในประเทศ 
·             ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท ได้กำหนดให้มีการ phase - down อะมัลกัมอุดฟัน และให้มีการ phase - out ผลิตภัณฑ์ฯ อื่น ๆ ภายในปี ๒๐๒๐ อาทิ () แบตเตอรี่ () สวิตซ์ไฟฟ้าและรีเลย์ () หลอดฟลูออเรสเซนต์ชนิดคอมแพกต์ () หลอดฟลูออเรสเซนต์ชนิดตรง () หลอดปรอทความดันไอสูง () หลอด Cold-Cathode Fluorescent Lamps (CCFL) และหลอด External Electrode Fluorescent Lamp (EEFL) () เครื่องสำอางค์ รวมทั้งสบู่และครีมผิวขาว () สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ และ () เครื่องมือวัดที่ไม่ใช่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (non-electronic measuring devices) อาทิ barometers hygrometers manometers thermometers และ sphygmomanometers ยกเว้น ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสอดคล้องกับข้อยกเว้นที่อนุสัญญาฯ ได้กำหนดขึ้น
·      กระบวนการผลิตที่มีการใช้ปรอทและสารประกอบปรอท ได้กำหนดให้มีการ phase-down () การผลิตสารไวนิลคลอไรด์โมโนเมอร์ () โซเดียม หรือโพแทสเซียม เมทิลเลต หรือ เอทิลเลต () การผลิตโพลียูรีเทน โดยใช้ปรอทเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และให้มีการ phase-out () การผลิตคลออัลคาไลน์ ภายในปี ๒๐๒๕ () กระบวนการผลิตอะซีตัลดีไฮด์ (acetaldehyde) ซึ่งใช้ปรอทและสารประกอบปรอทเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ภายในปี ๒๐๑๘
·      การทำเหมืองแร่ทองคำพื้นบ้านและขนาดเล็ก หากภาคีฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า มีการทำเหมืองแร่ทองคำพื้นบ้านและขนาดเล็กภายในประเทศของตนในระดับมากกว่าระดับที่ไม่มีนัยสำคัญ (more than insignificant) จะต้องพัฒนาและปฏิบัติตามแผนจัดการระดับชาติในการลดการใช้ปรอทในการทำเหมืองแร่ทองคำพื้นบ้านและขนาดเล็ก
·          การปลดปล่อยปรอทสู่อากาศ ได้กำหนดให้จัดทำแผนจัดการระดับชาติ เพื่อควบคุมการปลดปล่อยปรอทสู่อากาศจากแหล่งกำเนิด () โรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง () โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหิน () กระบวนการถลุงแร่ (smelting) และอบแร่ (roasting) ที่ใช้ในกระบวนการผลิตโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก(ตะกั่ว สังกะสี ทองแดง และอุตสาหกรรมผลิตทองคำ) () เตาเผาขยะ และ () โรงงานผลิตปูนซีเมนต์
·          การปล่อยปรอทสู่น้ำหรือดิน (Releases) ได้กำหนดให้จัดทำแผนจัดการระดับชาติ เพื่อควบคุมการปล่อยปรอทสู่น้ำหรือดินจากแหล่งกำเนิดมีการปล่อยอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งได้จากการจัดทำทำเนียบการปล่อยปรอทสู่น้ำหรือดินโดยแต่ละภาคี
·       การเก็บกักปรอทชั่วคราวอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่ใช่ของเสียปรอท ได้กำหนดให้ภาคีฯ ต้องให้ความร่วมมือ เพื่อพัฒนาศักยภาพสำหรับการเก็บกักปรอทที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และจะต้องใช้มาตรการเพื่อให้มั่นใจว่าการเก็บกักปรอทสำหรับการใช้ที่ได้รับอนุญาตภายใต้อนุสัญญาฯ จะต้องเป็นการเก็บกักปรอทอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และจะต้องเป็นการเก็บกักในลักษณะชั่วคราวเท่านั้น
·         ของเสียปรอท ได้กำหนดให้ภาคีฯ ต้องมีการจัดการของเสียปรอทอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงแนวทางที่มีการพัฒนาภายใต้อนุสัญญาบาเซล และที่ประชุมรัฐภาคีฯ อาจต้องรับรองข้อกำหนดเกี่ยวกับสถานที่กำจัดกากของเสีย การออกแบบ การเดินระบบ และการบำบัดก่อนการกำจัดขั้นสุดท้ายในภาคผนวกเพิ่มเติม
·         พื้นที่ที่ปนเปื้อนปรอท ได้กำหนดให้ภาคีฯ ต้องพยายามพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสม เพื่อการระบุและการประเมินพื้นที่ที่ปนเปื้อนปรอท และที่ประชุมรัฐภาคีฯ ต้องรับรองแนวทางเกี่ยวกับหลักการการจัดการพื้นที่ปนเปื้อน ซึ่งครอบคลุมถึงการระบุพื้นที่ที่ปนเปื้อน การมีส่วนร่วมของประชาชน และการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ อนุสัญญาฯ ยังมุ่งเน้นในประเด็นการเสริมสร้างความตระหนัก การศึกษาวิจัย การติดตามตรวจสอบ การแลกเปลี่ยนข้อมูล และการให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน ด้านเทคนิควิชาการ และด้านเทคโนโลยีเพื่อการจัดการปรอทด้วย


หมายเหตุ : [1] การมอบสัตยาบันสาร หรือหนังสือแสดงความยินยอมที่จะผูกพันตามข้อตกลงหรืออนุสัญญาระหว่างประเทศ หลังจากได้ลงนามในข้อตกลงหรืออนุสัญญานั้นแล้วภายในระยะเวลาลงนามที่กำหนด
[2] การมอบภาคยานุวัติสาร หรือหนังสือแสดงความยินยอมที่จะผูกพันตามข้อตกลงหรืออนุสัญญาระหว่างประเทศ โดยไม่ได้ลงนามในข้อตกลงหรืออนุสัญญานั้นก่อนภายในระยะเวลาลงนามที่กำหนด



เอกสารอ้างอิง
กรมควบคุมมลพิษ (พิมพ์ครั้งที่ ๒). ๒๕๕๙. คำแปลอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท. กรุงเทพฯ